ช่วง 6 โมงเย็นของเมื่อวาลหลังเลิกงานผมรู้สึกอยากกินไก่ KFC จึงได้เดินเข้าไปในห้างเเห่งหนึ่งที่อยู่ข้างๆที่ทำงาน เเต่บังเอิญว่าเงินในกระเป๋าผมนั้นมีไม่พอจึงต้องเดินไปกดเงินที่ตู้ ATM กสิกรไทย เเต่ปรากฎว่าตู้นี้หน้าจอดำสนิทเเละใช้ไม่ได้ ผมจึงต้องเดินไปกดอีกตู้หนึ่งซึ่งอยู่ทางประตูอีกด้านของห้างซึ่งก็ไม่ห่างกันมาก เเต่เมื่อผมเดินมาถึงตู้ก็พบกับโต๊ะรับบริจาคตั้งอยู่ห่างกับตู้ ATM ไม่เกิน 3 ก้าว (อันนี้ผมก็ไม่เเน่ใจว่าอีกตู้ที่จอดำ เป็นเพราะความจงใจหรือบังเอิญ) เมื่อเห็นอยางนั้นผมก็เริ่มรู้ชะตากรรมของตัวเองเเล้วล่ะ เเต่ก็ต้องไปกดเงินอยู่ดีเพราะไม่อย่างนั้นก็ไม่มีเงินมากิน KFC ผมจึงไปเข้าคิวเพื่อรอกดเงินตามปกติ
หลังจากที่กดเงินเสร็จผมก็เดินออกมาพร้อมกับมีพี่ที่มาตั้งโต๊ะบริจาครออยู่ด้านหน้าตามคาด (โดยที่ผมยังไม่ทันเก็บเงินในกระเป๋า เเบงค์พันยังคามือ) เเล้วก็พูดกับผมว่า "มาเขียนข้อความให้กำลังใจกับเด็กผู้หญิงที่ถูกกระทำชำเราหน่อยนะคะ เเล้วจะได้เข็มกลัดฟรีๆเลยค่ะ" ผมก็นึกในใจ "เอ่อ ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดนี่ว่า" ด้วยความที่ผมเห็นว่าฟรีจึงเดินเข้าไปเขียนให้กำลังใจซะหน่อย เเล้วพี่เขาก็ยื่นเข็มกลัดให้ผม
เป็นเพียงภาพประกอบเท่านั้น
ทันใดนั้นก็มีพี่อีกคนมายืนประกบผมอีกข้าง เเล้วก็เริ่ม "สาธยาย" เรื่องราวความน่าสงสารของเด็กที่ถูกกระทำชำเราเเล้วก็พยายามบอกให้ผมบริจาคเป็นรายปี
ซึ่งผมก็ตอบไปว่า
"ผมยังไม่มีรายได้ที่เเน่นอน"
พี่คนนั้นก็ยิ้มเเล้วตอบกับผมว่า
"งั้นซื้อตุ๊กตาตัวนี้ก็ได้ค่ะ 199 บาท เงินที่ได้จากคุณทุกบาททุกสตางค์จะเป็นเงินที่ช่วยทำให้ชีวิตน้องๆดีขึ้นนะค่ะ"
เป็นไงล่ะ ? เจอคำนี้เข้าไป เเบงค์พันยังคามืออยู่ด้วย ตุ๊กตาเเค่ 199 บาท ถ้าไม่ซื้อที่คือ จะโดนมองว่า "ใจดำ" มากเลยนะ
สรุปว่าสุดท้ายผมต้องซื้อตุ๊กตาราคา 199 บาท ครับ ทั้งที่ตั้งใจเเค่จะไป "เขียนข้อความ" เท่านั้น เเละผมก็ถึงบางอ้อว่า นี่เเหละ "เทคนิคการขาย" ขั้นเทพ ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ที่เราเคยอ่านในหนังสือจิตวิทยาขั้นเทพ "Thanking Fast and Slow" ของนักเขียนรางวัลโนเบล นามว่า "เเดเนียล คานเเมน (Daniel Kahneman)
เเดเนียล เล่าว่า ถ้าคุณไปที่สนามบินของเมือง ลอสเเองเจลิส ในช่วงวันทหารผ่านศึก จะมีคนกลุ่มหนึ่ง อายุมาก ดูท่าทางเป็นอาสาสมัครเขาจะเข้ามาเพื่อขอ "ติดดอกป๊อปปี้" ที่หน้าอกให้กับคุณ
เมื่อคุณยอมรับน้ำใจของเขาเเล้ว เขาก็จะเริ่ม "สาธยาย" เรื่องราวของทหารผ่านศึกเเละจบด้วยการขอบริจาคเงิน
เทคนิคนี้คือการช่วยลด "ระยะห่าง" ระหว่างผู้ขายเเละ "ผู้ซื้อ" ได้ดีมาก ผู้ขายอยากจะคุยกับผู้ซื้อที่เดินผ่านไปมาจึงเสนอของฟรีให้ หรือ ให้ทำกิจกรรมบางอย่างเเบบง่ายๆ เพื่อลด "ช่องว่าง" เเละ "ซื้อเวลา" ที่จะอธิบายโครงการเพื่อสังคมของตัวเอง
ลองถ้าได้มีปฏิสัมพันธ์ไปเเล้ว รับของฟรีมาเเล้วนิดหน่อย ได้ยินเรื่องราวว่ามีผู้คนลำบาก รอคอยความช่วยเหลือจากเราอยู่ ไอ้เราจะปฏิเสธก็จะดูเป็น "คนใจดำ" ไปโดยอัตโนมัติ ลงท้ายก็จะต้องเจียดเงินมาบริจาคบ้างไม่มากก็น้อย
เมื่อผมเจอกับ "มุขเขียนอวยพร" ของน้องๆเข้า ผมถึงกับต้องยอมจำนน
นี่เเหละครับ จิตวิทยาการขายง่ายๆ ที่ได้ผลมานักต่อนักเเล้ว
Comments